วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555


โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ สุนัข ขี้เล่น


โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ (Golden Retriever) สุนัข พันธุ์นี้เป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลก เรามักจะได้เห็น สุนัขพันธุ์โกลเด้น จากโฆษณาหรือภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง ที่มีรูปร่างท่วงท่าสวยงาม หน้าตาน่ารัก ใจดี ขี้เล่น ขนยาวสีเหลืองทอง แถมยังเป็น สุนัข ฉลาด พูดรู้เรื่อง เชื่อฟังคำสั่ง จึงทำให้หลายคนเกิดติดใจอยากหา โกลเด้น มาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนคู่ใจสักตัว ขณะที่หลายคนก็อาจตกหลุมรัก สุนัข พันธุ์นี้ จนมีไว้ในครอบครองหลายตัวแล้วก็ได้
           โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ มีถิ่นกำเนิดในประเทศอังกฤษและสก๊อตแลนด์ โดยมีการบันทึกไว้ในช่วงทศวรรษที่  1860   ซึ่งบันทึกไว้ว่าได้มีคณะละครสัตว์ของรัฐเซีย   ได้นำฝูง สุนัข มาแสดง จนทำให้ท่านลอร์ด  ทวีดมัธ  ( Lord  Tweedmouth ) รู้สึกประทับใจ จึงได้ทำการขอซื้อไว้แล้วนำมาผสมพันธุ์หลายชั่วอายุ  จึงได้สายพันธุ์ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ในที่สุด แต่การนำมาผสมกับสายพันธุ์ไหนนั้นยังไม่มีหลักฐานสรุปที่แน่นอน  แต่มีการสันนิษฐานว่า โกลเด้น มีสายเลือดผสมระหว่างสุนัขพันธุ์ Yellow Flat-Coated Retriever และ Light-Coated Tweed Water Spaniels และอาจจะมีสายพันธุ์ของ Newfoundland หรือ Bloodhound ผสมอยู่ด้วย          

           ทั้งนี้ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ เป็น สุนัข ที่มีความเชี่ยวชาญทางน้ำ โดยแต่เดิมเป็น สุนัข ที่ใช้ในกีฬาล่าสัตว์ นายพรานจะใช้ โกลเด้น ไปเก็บเป็ดน้ำที่ยิงได้กลับมา เนื่องจากมีประสาทสัมผัสดีเลิศทั้งในด้านของการฟังเสียง การดมกลิ่นสะกดรอย นอกจากนี้ โกลเด้น ยังมีสายตาอันเฉียบคมและแม่นยำ ด้วยเหตุนี้วงการทหารและตำรวจในหลายๆ ประเทศจึงได้นำ สุนัขพันธุ์โกลเด้น นี้มาฝึกเพื่อไว้ช่วยงานราชการ อาทิเช่น ตรวจค้นยาเสพติด, ดมกลิ่นสะกดรอยคนร้าย, ยามรักษาความปลอดภัย แต่ที่ดูเหมือนจะได้รับความนิยมสูงสุด ก็เห็นจะได้แก่ฝึกให้เป็น สุนัข นำทางคนตาบอด ทั้งนี้เพราะ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ เป็นสุนัขฉลาด และสุภาพ
           โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ หรือที่บางคนเรียก เยลโล่ รีทรีฟเวอร์ ( YELLOW RETRIEVER ) เป็นที่รู้จักและนิยมเลี้ยงกันแพร่หลายในประเทศอังกฤษ จนในปี ค.ศ. 1930 โกลเด้น ก็เริ่มเป็นที่นิยมในสหรัฐอเมริกา โดยยุคนั้นชาวอเมริกันส่วนใหญ่จะเลี้ยง โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ไว้เพื่อเป็นนักล่า 

           ต่อมาในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1977 ได้จัดให้มีการประกวดความสามารถและความฉลาดแสนรู้ของ สุนัข ซึ่งผลปรากฏว่า สุนัข ที่ได้รางวัลที่ 1-3 ล้วนเป็น สุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ทั้งสิ้น จากผลการประกวดในครั้งนั้นทำให้ชาวอเมริกันเริ่มเกิดความตื่นตัว และหันมาให้ความสนใจเลี้ยง สุนัขพันธุ์โกลเด้น เป็น สัตว์เลี้ยง กันมากขึ้น



 ลักษณะทั่วไปของ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์

           โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ เป็น สุนัข ในกลุ่มกีฬา (Sporting Group) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้งานในกีฬาล่าสัตว์ เป็น สุนัข ขนาดกลาง มีอายุเฉลี่ย 12 – 14 ปี ตัวผู้สูงราว 23-24 นิ้ว หนักประมาณ 64-70 ปอนด์ ตัวเมีย สูง 21-23 นิ้ว น้ำหนัก 60-70 ปอนด์ มีสีหลายระดับสี มักจะเป็นสีออกครีมถึงสีเหลืองทอง จนถึงกึ่งเข้มแดงมะฮอกกานี เป็น สุนัข ที่มีลักษณะหัวกว้าง และมีช่วงปากที่แข็งแรง ตาสีน้ำตาล หูค่อนข้างใหญ่เป็นรูปสามเหลี่ยม ปรกลงมาด้านข้าง มีขน 2 แบบ คือเรียบกับเป็นลอน ขนชั้นนอกแน่น เงา หยิกเป็นลอนเล็กน้อย และราบเรียบไปตามลำตัว กันน้ำได้ดี ขนชั้นในแน่น และกันน้ำได้ดีเช่นเดียวกัน มีขนปุกปุยหนาแน่นบริเวณคอ ขาหน้าตรงแข็งแรง เท้ากลมคล้ายเท้าแมว 

           โครงสร้างลำตัวของ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ จะสั้นกระชับได้สัดส่วน อกลึกและกว้าง ความลึกของอกลึกเสมอข้อศอกขาหน้า ลำตัวเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ช่วงรอยต่อระหว่างจมูก ปาก และหน้าผาก มีความลาดเล็กน้อยไม่ถึงกับหัก สันจมูกเป็นเส้นตรง หนังย่นบริเวณหน้าผากอนุโลมให้มีได้ หนังบริเวณใบหน้าเรียบตึง ฟันมีลักษณะขบกันได้สนิท โดยฟันหน้าบนขบเกยอยู่ด้านนอก ส่วนจมูกมีสีดำหรือน้ำตาลดำ ลักษณะของหูสั้นพอประมาณ ใบหูห้อยปรกลงแนบกับส่วนแก้ม และหางอยู่ในตำแหน่งสูงสุดต่อจากเส้นหลังและหางมีขนาดใหญ่โดยเฉพาะที่บริเวณโคนหาง

อุปนิสัยของ สุนัข โกลเด้น รีทรีฟเวอร์

          เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่ามี สุนัข น้อยพันธุ์นักที่จะมีนิสัยสุภาพ น่ารัก มีเสน่ห์ ขี้เล่น ช่างประจบเอาใจ และเสียสละรักเจ้าของได้เท่ากับ สุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ นี้ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ เป็น สุนัข ที่ใจดี ชอบอยู่กับคนและสัตว์อื่น มีมนุษย์สัมพันธ์ดี สามารถปล่อยให้เป็นเพื่อนเล่นกับเด็กๆ หรือลูกหลานได้อย่างสบายใจ ค่อนข้างติดคนหรืออยากให้เจ้าของสนใจเสียจนบางครั้งอาจรู้สึกว่าน่ารำคาญ 
          นอกจากนี้ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ยังเป็น สุนัข ที่ฝึกง่าย แต่ควรเริ่มฝึก โกลเด้น เสียแต่เนิ่นๆ แต่ก็มีบางตัวที่ขี้ตกใจ เป็นกระต่ายตื่นตูม ดังนั้น การฝึกที่นุ่มนวลและมีแรงจูงใจที่ดีจะช่วยลดปัญหาเหล่านี้ได้ โกลเด้น ชอบเห่าเมื่อมีคนอยู่หน้าประตูบ้าน แต่มีบ่อยครั้งที่การเห่านั้นเป็นการแสดงการทักทาย มิใช่การขู่ เจ้าของควรทำรั้วล้อมรอบบริเวณบ้านให้ดี เพราะถ้าขืนปล่อย สุนัข พันธุ์นี้ให้เป็นอิสระมากไป มันจะหนีออกไปข้างนอกบ้านและคุณคงต้องตามหามันจนเหนื่อย เนื่องจาก โกลเด้น มีนิสัยชอบเที่ยว ชอบผจญภัยเอามากๆ

อาหารและการเลี้ยงดู สุนัข โกลเด้น รีทรีฟเวอร์

           โกลเด้น เป็น สุนัข ที่มีขนร่วงมาก จำเป็นจะต้องแปรงและหวีขนให้มันสัปดาห์ละหลายๆ ครั้ง โกลเด้น จะมีความสุขมากๆ หากเจ้าของพามันไปเดินเล่นไกลๆ ทุกวันหรือหาสนามโล่งๆ ให้ได้วิ่งเล่นแบบสบายๆ ไร้กังวล ได้เล่นกับ สุนัข ตัวอื่น วิ่งเก็บลูกบอล หรือว่ายน้ำ

           และด้วยความที่ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ มีต้นกำเนิดมาเพื่อล่าสัตว์ที่อยู่ริมน้ำ ดังนั้น บุคลิกที่โดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ สุนัข พันธุ์นี้คือ ชอบลงไปในบริเวณที่มีน้ำขังอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ กระถางบัว บ่อปลา หรือแม้แต่ชามใส่น้ำของตัวมันเอง จึงขอแนะนำให้หาอ่างน้ำ หรือภาชนะใดๆ ใส่น้ำไว้สำหรับให้เขาเล่นโดยเฉพาะ           ส่วนอาหารที่ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ขนาดโตเต็มวัยต้องการควรเป็นอาหารชั้นดี โดยให้เพียงวันละ 1 ครั้งในปริมาณที่เพียงพอ และในระหว่างวันอาจให้บิสกิตเสริมได้วันละ 2 ครั้ง 

           บริเวณสำหรับนอนเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ โกลเด้น ต้องการผ้าปูรองนอนนุ่มๆ หาของเล่นส่วนตัวสักชิ้นสองชิ้นที่มันสามารถกัดแทะได้ เช่น กระดูกเทียม หรือลูกบอลยางวางไว้รอบตัวให้มันด้วย จะช่วยให้ โกลเด้น มีที่สงบและปลอดภัย สำหรับช่วงเวลาที่พวกมันต้องการความเป็นส่วนตัวและต้องการพักผ่อน นอกจากนี้ ผู้เลี้ยงยังต้องดูแลเรื่องความสะอาดภายในใบหู ดูแลเรื่องเห็บและหมัด รวมทั้งตัดเล็บให้มันอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้วิ่งและกระโดดง่ายขึ้น

โรคและวิธีการป้องกัน

           โรคประจำสายพันธุ์ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ที่พบบ่อยๆ คือ โรคข้อสะโพก โรคต้อกระจก โรคขาดฮอร์โมนไทรอยด์ โรคเนื้องอกในต่อมน้ำเหลือง

โรคข้อสะโพกเสื่อม (Hip Dysplasia ) เป็นโรคกระดูกที่พบได้มากในสุนัขพันธุ์ใหญ่ ( Giant and large breed ) โดยพบมากถึง 1 ใน 3 ของโรคกระดูกทั้งหมดใน สุนัข โดยโรคนี้จะมีพัฒนาการในช่วงที่มีการเจริญเติบโต ของกระดูกจึงอาจพบได้ตั้งแต่ 4-12 เดือน

โรคขาดฮอร์โมนไทรอยด์ กล่าวคือ ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนน้อยกว่าปกติ และก่อให้เกิดความผิดปกติต่างๆ ของร่างกายโดยแสดงออกทางผิวหนัง อาการที่พบคือ สุนัข จะมีอาการขนร่วง เช่น  ข้างลำตัว  รอบก้นและหาง  หน้าอก  ใน สุนัข อายุมากมักพบรังแคกระจายทั่วร่างกาย  อาจพบผิวหนังมีเม็ดสีสะสม  มักพบเป็นสีดำ อาจมีน้ำหนักตัวมากกว่าปกติ อ่อนเพลีย  ซึ่งโรคนี้มักพบใน สุนัข อายุ  6-10  ปี แต่ถ้าเป็น สุนัข พันธุ์ใหญ่สามารถพบในอายุน้อยกว่า  6  ปีได้ ดังนั้น หาก สุนัข ของคุณมีอาการดังนี้  แนะนำให้พา สุนัข มาตรวจกับสัตวแพทย์เพื่อรับการรักษาจะดีที่สุด

โรคเนื้องอกในต่อมน้ำเหลือง พบได้ทั้งชนิดที่ไม่รุนแรงและชนิดที่เป็นมะเร็ง ลักษณะที่พบคือ เป็นเนื้องอกขอบไม่เรียบและมีสีต่างๆ สามารถพบเนื้องอกที่บริเวณผิวหนังของศีรษะ ปลายเท้า หลัง และภายในช่องปาก ซึ่งโดยมากแล้วมักพบในช่องปากของสุนัข โดย สุนัข จะมีน้ำลายไหลมากผิดปกติ มีกลิ่นปาก น้ำหนักลด มีเลือดออก ฟันหลุด และไม่สามารถกินอาหารได้ ซึ่งหากผู้เลี้ยงพบอาการดังกล่าวมานี้ ควรรีบพา สุนัข ไปรักษาโดยเร็ว เพราะหากเป็นเนื้องอกชนิดที่มีเชื้อมะเร็ง จะมีอัตราการเสียชีวิตสูง การรักษาทำได้โดยการผ่าตัดกรณีเชื้อยังไม่แพร่กระจาย แต่หากเชื้อแพร่กระจายแล้วจะใช้วิธีเคมีบำบัด

โรคต้อกระจก มักเกิดกับ สุนัข ที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป โดยจะมองเห็นแก้วตามีลักษณะขุ่นขาว ซึ่ง สุนัข ยังพอมองเห็นได้ แต่ถ้าแก้วตาขุ่นเพิ่มมากขึ้นก็จะทำให้มองไม่เห็น เนื่องจากแสงไม่สามารถผ่านเข้าไปยังจอรับภาพได้ ทั้งนี้สาเหตุเป็นเพราะโรคเบาหวาน หรือได้รับบาดเจ็บ มีแผลที่ตา อย่างไรก็ตาม โรคต้อกระจกอาจจะพบได้ใน สุนัข อายุน้อยตั้งแต่เกิดจนถึง 3 ปี เนื่องจากเป็นมาตั้งแต่เกิด สำหรับการรักษา ควรรีบพา สุนัข ของคุณไปพบสัตวแพทย์ เพื่อรับการตรวจและรักษาทันที หากปล่อยทิ้งไว้นาน จะทำให้การรักษายากขึ้น และอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ตาบอดได้

วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555



พุดเดิ้ล สุนัข แสนฉลาด






  สุนัข พุดเดิ้ล ได้ชื่อว่าเป็น สุนัข ที่มีความนิยมอันดับหนึ่งของโลก และขึ้นชื่อว่าฉลาด ฝึกง่าย สอนง่าย ขี้อ้อน และประจบเก่งเป็นที่สุด แถมยังอดทนไม่ขี้แย เลี้ยงง่าย แม้จะปากเปราะไปบ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นหมาที่เห่าไม่รู้เรื่อง ยิ่งในบ้านเรา พุดเดิ้ล สายพันธุ์นิยมเลี้ยงกันคือ พุดเดิ้ลทอย มันกลายเป็นหวานใจตัวจ้อยของหลายๆ ครอบครัว เพราะขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ แถมยังมีลักษณะเป็นเหมือนเหมือนตุ๊กตาที่มีชีวิต สดใสมีชีวิตชีวา มีนิสัยรักสวยรักงาม ชอบเสริมสวย ชอบเที่ยว และเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวได้เร็ว

          พุดเดิ้ล (Poodle) มีถิ่นกำเนิดในประเทศฝรั่งเศสและเยอรมนีตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 14 แต่ไม่สามารถสรุปแน่ชัดว่าต้นกำเนิดจริงๆ เป็นประเทศเยอรมนีหรือประเทศฝรั่งเศส อย่างไรก็ตามทั้ง 2 ประเทศต่างนิยมเลี้ยง พุดเดิ้ล ไว้เพื่อใช้งาน "เก็บของในน้ำ" เหมือนกัน ซึ่งนั่นก็คือ "นกเป็ดน้ำ" ที่ชาวไร่ชาวนายิงได้

          ในประเทศเยอรมนี พุดเดิ้ล ถูกเรียกว่า "Pudel" หรือ "Pudelin" ซึ่งแปลว่า "กระโดดน้ำ" (สันนิษฐานกันว่าชื่อ Poodle ในภาษาอังกฤษที่เราเรียกกันนั้นก็น่าจะมีรากศัพท์มาจากคำว่า Pudel หรือ Pudelin ส่วนในประเทศฝรั่งเศส พุดเดิ้ลเป็นที่นิยมอย่างสูงมากจนได้การยกย่องให้เป็นสุนัขประจำชาติ ที่นี่...พวกมันมีฉายาว่า "Caniche" ซึ่งมีรากศัพท์มาจาก "chien canard" แปลว่า "สุนัขล่าเป็ด"

          และเนื่องจากถูกเลี้ยงไว้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการใช้งาน การตัดขนของ พุดเดิ้ล ในสมัยแรกๆ จึงถูกออกแบบให้เหมาะสมกับการว่ายน้ำเป็นหลัก ไม่เน้นไปที่ความสวยงาม แต่อย่างที่รู้ๆ กันว่าฝรั่งเศสนั้นเป็นศูนย์กลางแห่งแฟชั่นและศิลปะนานาชนิด ในเวลาต่อมาการตัดแต่งทรงขนของ พุดเดิ้ล จึงได้เกิดการพัฒนาเป็นทรงต่างๆ ที่หลากหลาย ซึ่งยิ่งเป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้ สุนัข พุดเดิ้ล น่าหลงใหลมากขึ้นเป็นทวีคูณ

ลักษณะสายพันธุ์ สุนัข พุดเดิ้ล
          พุดเดิ้ล ถูกจัดอยู่กลุ่ม สุนัข ที่ไม่ใช้ในเกมกีฬา (Non sporting Group) เป็นสุนัขประเภทสวยงาม ปากเรียวยาว ดวงตากลมโต หูห้อยลงมาปิดแก้ม ขนดกและหยิกชนิดติดหนัง ขนสั้นและเงางาม ขนค่อนข้างละเอียด เรียบ หยาบเล็กน้อยและไม่มีขนปุกปุย สีขนมีตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนจนถึงน้ำตาลแก่ มีขนสีขาวแต้มบริเวณหน้าอกเรียกว่า สตาร์ ข้อเท้า และปลายหาง อาจจะมีจุดสีขาวเล็กน้อยบริเวณใบหน้า จมูกจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อมันตกใจ

          สุนัข พุดเดิ้ล แบ่งได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้
          1. พุดเดิ้ลทอย (Toy Poodle) เป็นพุดเดิ้ลขนาดเล็ก สูงไม่เกิน 12 นิ้ว หนักประมาณ 6 กิโลกรัม

          2. พุดเดิ้ล มินิเจอร์ (Miniture Poodle) เป็นพุดเดิ้ลขนาดกลาง สูงประมาณ 11-15 นิ้ว หนักประมาณ 11 กิโลกรัม

          3. พุดเดิ้ล สแตนดาร์ด (Standard Poodle) เป็นพุดเดิ้ลขนาดใหญ่ สูงประมาณ 18-22 นิ้ว หนักประมาณ 20 กิโลกรัม

          แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาสายพันธุ์ของ พุดเดิ้ล ให้เล็กลงไปอีก จนได้ขนาด พุดเดิ้ล น้องใหม่ที่มีชื่อว่า พุดเดิ้ลทีคัพ (Tea-Cup Poodle) เป็นขนาดเล็กที่สุดในตระกูล พุดเดิ้ล จะมีส่วนสูงไม่เกิน 8 นิ้ว และน้ำหนักจะอยู่ที่ประมาณ 2.5-3.5 กิโลกรัมเมื่อโตเต็มที่ พุดเดิ้ลทีคัพ นี้แม้ยังไม่ได้รับการรับรองจากสถาบันสุนัขใดๆ แต่สำหรับกลุ่มผู้เลี้ยง พุดเดิ้ล แล้วกลับตรงกันข้าม เพราะ พุดเดิ้ลทีคัพ กลายเป็นที่นิยมไปทั่วและเป็นที่ต้องการอย่างสูง แม้ว่าจะมีราคาค่าตัวที่แพงลิบลิ่ว

          อย่างไรก็ตาม พุดเดิ้ล ทั้งหลายที่กล่าวมาจะมีมาตรฐานสายพันธุ์ที่เหมือนกันหมด ทั้งสภาพขน สี นิสัยใจคอ และอื่นๆ จะต่างกันตรงที่ "น้ำหนัก" และ "ความสูง" เท่านั้น

          ถ้าพูดถึงเรื่องนิสัยใจคอของเจ้า พุดเดิ้ล ทุกขนาด จะเป็น สุนัข ที่น่าหยิกน่าหมั่นไส้ แสนประจบ ซน และขี้เล่น พุดเดิ้ล พันธุ์เล็กกับ พุดเดิ้ลทอย จะไม่ค่อยไว้ใจคนแปลกหน้า และมีความอดทนกับเด็กน้อยกว่าพันธุ์มาตรฐาน อย่างไรก็ตาม พุดเดิ้ล เป็นสุนัขที่ฝึกง่าย สั่งให้ทำอะไรก็ทำ ซึ่งคุณก็ควรฝึกสอนตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วคุณจะเห็นว่ามันมีความสามารถในการทำตามคำสั่งที่ยอดเยี่ยมทีเดียว ข้อเสียของมันก็คือมันมีนิสัยชอบเห่า แต่คงเพราะตัวเล็กไปหน่อยจึงได้แต่เห่าอย่างเดียว ทำอะไรใครไม่ได้


                                

 อาหารและการดูแล สุนัข พุดเดิ้ล

          อาหารการกินของ สุนัข พุดเดิ้ล ควรให้เป็นอาหารสำเร็จรูปจะดีที่สุด อาหารสำเร็จรูปนั้นมีอยู่หลายสูตรด้วยกัน ได้แก่ อาหารสูตรลูกสุนัข อาหารสูตรสุนัขโต และอาหารสูตรสุนัขแก่ การให้อาหารก็ควรให้ตรงตามอายุและสูตร เนื่องจากสุนัขในแต่ละวัยนั้นมีความต้องการอาหารที่แตกต่างกัน อย่างเช่น ลูกสุนัข จำเป็นต้องได้รับสารอาหารจำพวกโปรตีนสูงกว่าสุนัขโต ในขณะที่ร่างกายของสุนัขโตจะต้องการอาหารประเภทพลังงานมากกว่าโปรตีน อย่างนี้เป็นต้น และปริมาณการให้อาหารก็ไม่ควรมากจนเกินไป เพราะ พุดเดิ้ล จัดเป็นสุนัขพันธุ์เล็กที่กินไม่มาก

          นอกจากเรื่องของโภชนาการแล้ว การให้ อาหารสุนัข ยังควรคำนึงถึงความสะอาดเป็นสำคัญ เจ้าของต้องคอยหมั่นดูแลภาชนะใส่อาหารและสถานที่กินให้สะอาดเรียบร้อยอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคต่างๆ ที่พร้อมจะทำร้ายสุนัขของเรา ส่วนในด้านการดูแลความสะอาดของ พุดเดิ้ล จะต้องใส่ใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องหู เพราะ พุดเดิ้ล มีใบหูที่ใหญ่ หนา ห้อยปรกลงมา จึงต้องหมั่นสำรวจดูใบหูบ่อยๆ แล้วใช้สำลีเช็ดทำความสะอาดให้หมดจด ซึ่งจะดีมากหากจะหยอดน้ำยาเช็ดหูเข้าไปก่อนประมาณ 5 นาทีเพื่อทำให้สิ่งสกปรกอ่อนตัว และง่ายในการเช็ดออกมา แต่ระวังอย่าแหย่สำลีลึกจนเกินไป เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อหูชั้นในได้
          นอกจากนี้ ตาก็เป็นอวัยวะสำคัญที่พบปัญหา พูเดิ้ล ส่วนใหญ่จะมีร่องน้ำตาที่เห็นได้ค่อนข้างชัด ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้คราบน้ำตาหรือสิ่งสกปรกไปหมักหมมได้ง่าย เจ้าของจึงควรคอยเช็ดทำความสะอาดให้ทุกวัน เพราะหากทิ้งไว้นานๆ คราบนั้นจะฝังแน่นอย่างถาวร เช็ดไม่ออก นอกจากนั้น ยังควรหมั่นตรวจดูดวงตาของ สุนัข พูเดิ้ล ด้วยว่ามีฝ้าขาวๆ หรือรอยขีดข่วน รอยแผลบ้างหรือไม่


โรคและวิธีการป้องกัน
          โรคที่มักพบใน พุดเดิ้ล จะคล้ายๆ กับชิสุ คือเรื่องตา เนื่องจากเป็นน้องหมาตาโตแบ๊ว เหมือนๆ กันจึงทำให้มีโอกาสเสี่ยงในการเกิดการระคายเคืองและเป็นโรคตาได้ง่าย แต่สำหรับ พูเดิ้ล แล้วสายพันธุ์ของเขามีที่มีปัจจัยโน้มนำที่ทำให้เกิดโรคต้อกระจกได้มากกว่าสุนัขพันธุ์อื่นๆ เจ้าของสามารถสังเกตอาการป่วยของพูเดิ้ลเมื่อป่วยด้วยโรคตา สังเกตได้จากเริ่มตาแดง ตาฝ้า บางครั้งจะมีน้ำตาเอ่อ มีขี้ตามากผิดปกติ ชอบเกาตาหรือไถตากับพื้นหรือฝาผนัง ที่เห็นได้อย่างเด่นชัดสุด คือ การเดินชนของ เดินขึ้นบันไดลงบันไดไม่ค่อยถนัด หาชามข้าวไม่พบ เป็นต้น ซึ่งหากพบมีอาการเหล่านี้ควรนำมาพบสัตวแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคและได้รับการรักษาอย่างตรงจุด

          นอกจากโรคเกี่ยวกับตาแล้ว พุดเดิ้ล ยังมักจะมีปัญหาเรื่องโรคหัวใจเป็นโรคประจำกายอีกหนึ่งโรค โรคหัวใจ มีสาเหตุมาจากความผิดปกติในโครงสร้างและหน้าที่ของหัวใจ หรือความผิดปกติของหัวใจตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งอาการของ สุนัข ที่มีปัญหา โรคหัวใจ จะมีอาการซึมเศร้า  น้ำหนักลด เบื่ออาหาร หรือกินอาหารได้น้อยลง ท้องกาง ไอแห้งๆ และมักไอเวลากลางคืน มีอาการเหนื่อยง่าย อ่อนแรง หายใจลำบาก เหงือกซีด  เป็นลมหมดสติ
          ทั้งนี้ สุนัข พุดเดิ้ล ที่เป็นโรคหัวใจ สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างปกติ แต่จะต้องดูแลเรื่องการให้ยาอย่างใกล้ชิด ควรงดการออกกำลังกายหรือกิจกรรมใดๆ ที่ทำให้สัตว์เหนื่อย เนื่องจากหัวใจต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้น และสิ่งสำคัญคือ ระวังในเรื่องการให้อาหารและน้ำที่มีส่วนผสมของเกลือ ต้องมีปริมาณเกลือต่ำ

          นอกจากโรคที่กล่าวมานี้ ยังมีโรคอื่นๆ ที่สามารถคุกคาม พุดเดิ้ล ตัวโปรดของคุณได้ การได้รับวัคซีนต่อเนื่องอย่างที่ควรจะเป็นถือเป็นเรื่องสำคัญของ สุนัข ทุกพันธุ์ รวมทั้งอาหาร การเลี้ยงดู ความเอาใจใส่ รวมถึงสุขภาพจิต เหล่านี้ล้วนเป็นตัวแปรสำคัญที่จะช่วยให้ พูเดิ้ล ของคุณเป็นสุนัขที่ดีพร้อมทั้งร่างกายและอารมณ์



ที่มาื :  http://pet.kapook.com/view150.html
            








หมาปั๊ก Puggy ตูบหน้าบี้...จอมทะเล้น (Dogazine)



ในปัจจุบัน คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักสุนัขสายพันธุ์ปั๊กเป็นแน่ เนื่องด้วยกระแสความนิยมในสุนัขสายพันธุ์นี้ที่เริ่มมีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะด้วยอุปนิสัยน่ารักน่าเลี้ยงก็ดี หรือจะด้วยรูปร่างหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์ มองอย่างไรก็ไม่เบื่อ ชวนให้หัวเราะแล้วอารมณ์ดีทุกคราที่มองปั๊กน้อย สิ่งเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุผลที่ทำให้คนไทยหันมาเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้มากขึ้นตามลำดับ

          ด้วยความร่าเริงที่ไม่เหมือนใคร หน้าตาแลดูฉงนปนทะเล้น และอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา ทำให้ปั๊กไม่เพียงแต่เป็นที่นิยมเลี้ยงในประเทศไทยเท่านั้น หากแต่ยังแพร่หลายมากขึ้นทั่วโลกอีกด้วย






ปั๊ก (Pug) เป็นสุนัขพันธุ์เล็ก(Toy Dog) มีร่างกายเล็กปานกลาง มีหน้าสั้นและย่น ใบหูพับตก และมีขนสั้นเกรียน หางมีลักษณะ บิดเป็นเกลียวชี้ขึ้นม้วนจนเป็นวงติดกับบั้นเอว ถ้าหากหางม้วนได้ถึงสองตลบก็จัดว่าเป็นลักษณะที่สวยสมบรูณ์ทีสุด หายใจและกรนเสียงดัง
Pug เป็นสุนัขที่ถูกผสมพันธุ์ออกมา จนได้สัดส่วนรูปร่างที่กระทัดรัดเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ตัน และมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง หัวมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสเชิดขึ้นเล็กน้อย ตากลมยื่นออกมาแลดูอ่อนโยน มีสีดำเป็นประกาย หูสั้นตกลงข้างหัวมีความนุ่มคล้ายกำมหยี่ คอสันโค้งเล็กน้อย หางขี้ขึ้นด้านบนม้วนเป็นวงจนติดบั้นเอว ถ้าหากหางม้วนได้ถึงสองตลบก็จะจัดว่าเป็นลักษณะที่สวยงามที่สุด ขาหน้าเหยีดตรง มีขนสั้นละเอียดเป็นประกาย มีสีเหลื่องแอพพริค็อด มี Marking สีดำที่หน้าและใบหู
Pug เป็นที่นิยมเลี้ยงกันมาก ปั๊กเป็นสุนัขที่มีนิสัยน่ารัก น่าเลี้ยงอีกต่างหาก ถึงหน้าตาเขาจะดูเหมื่อนคิดมากไปหน่อยถ้าได้ลองเลี้ยงแล้วจะหลงไหลโดยไม่รู้ตัว เพราะความอ่อนโยนของมัน ข้อควรระวังในการเลี้ยงคือสภาพอากาศที่ร้อนปั๊กจะทนไม่ค่อยจะได้ ถ้าทนไม่ไหวอาจเป็นลมแดดได้ และถ้าอากาศเย็นควรให้อยู่ในที่อุ่นๆ หรือหาเสื้อมาสวมให้เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นหวัด

ถิ่นกำเนิดของสายพันธุ์  :  ประเทศจีน

มาตรฐานสายพันธุ์ 
            น้ำหนัก               6.4 - 8.2 กิโลกรัม 
            ส่วนสูง                10 - 11 นิ้ว 
            ลักษณะขน        ขนสั้นเกรียน เป็นมัน ไม่ปุกปุย 
            สีขน                    สีน้ำตาลแบบลูกวัว สีเงินหรือสีดำ 
            จัดอยู่ในกลุ่ม    กลุ่มสุนัข Toy 
ความเป็นมา              โดยทั่วไปไม่ค่อยมีใครรู้ว่า ปั๊ก เป็นที่เป็นที่ชื่นชอบมากที่สุดในบรรดาสุนัขหลายๆ พันธุ์ที่มีในอังกฤษและประเทศอื่นๆ ในยุโรป มาหลายปี แล้ว
เป็นที่ยอมรับกันว่า ปั๊ก มีถิ่นกำเนิดในจีน และมาประเทศอังกฤษ โดยผ่านมาทางประเทศฮอลแลนด์การที่ มีสุนัขกลุ่มทอยอื่นๆ เพิ่มขึ้นทำให้ ความ
เป็นที่นิยมของ ปั๊ก ในอังกฤษ เริ่มลดลง จนเกือบจะสูญพันธุ์ แต่ได้เพิ่มจำนวนขึ้นโดยการนำเข้าจากประเทศฮอลแลนด์ และออสเตรีย ในรัชสมัย
ของพระเจ้าจอร์จที่ 3 เป็นการต่อ ชีวิตให้กับสายพันธุ์นี้ในอังกฤษ ส่วนสายพันธุ์ในออสเตรเลียที่มีอยู่ได้จาก การนำเข้าจากอังกฤษอีกทีในเวลาต่อมา 


ช่วงชีวิตเฉลี่ย               ปั๊ก สามารถมีชีวิตได้มากกว่า 12 ปี  
  
 
ขนาดและน้ำหนักเฉลี่ย        6.3-8.1 กก.  
  
 
 อุปนิสัยประจำพันธุ์/ลักษณะประจำพันธุ์/อารมณ์ 
                 เป็นส่วนผสมที่สมบูรณ์แบบของสุนัขตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งที่ดึงดูดเราให้ต้องหลงไหล ทั้งความแข็งแกร่ง และความกล้าหาญ ที่มีอยู่ใน ปั๊ก สุนัขที่น่ารักพันธุ์นี้ ถ้าคุณมีพื้นที่น้อย หรืออาศัยในห้องชุด ปั๊ก จะเป็นคำตอบสำหรับคุณ พวกเขาไร้ซึ่งกลิ่นอับ ที่อาจพบในสุนัขเล็กพันธุ์อื่น มี ขนที่สั้นและไม่ค่อยมีการพลัดขน จึงเป็นสุนัขที่ค่อนข้างสะอาด  
  
 
ความต้องการการเอาใจใส่ดูแล               ปั๊ก โดยส่วนมากจะขี้เกียจถ้าปล่อยให้อยู่ตามลำพัง หรือไม่มีอุปกรณ์ฝึกเขา ให้พาเขา เดินหรือเล่นเกมส์ โยนของไปให้เขาเก็ยทุกวัน แต่อย่าให้เขาออกกำลัง กายหนักๆในช่วงที่ มีอากาศร้อนหรือหลังกินอาหารเสร็จ ปั๊ก เป็นสุนัขที่ฉลาด และมีแนวโน้มที่จะดื้อ ไม่ค่อย เชื่อฟังคำสั่ง ไม่ง่ายเลยที่จะฝึกสุนัขพันธุ์นี้ แต่ก็สามารถฝึกได้ และจะทำให้พวกเขาเป็นสุนัขที่ ดีต่อไป ชมรมผู้เลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้ หรือศูนย์ฝึกที่สามารถฝึกสุนัขให้เชื่อฟังคำสั่งจะช่วย แนะนำ
คุณได้ และจะแนะนำทุกอย่างที่เจ้าของสุนัขควรรู้เพื่อทำให้ ปั๊ก ตัวน้อยเป็นเพื่อนกับเรา ไม่ใช่แค่เป็นสัตว์เลี้ยง  
  
 
 ข้อควรจำ           เนื่องจากรูปทรงของตาและหน้าทำให้ ปั๊ก มีแนวโน้มที่จะเกิดการบาดเจ็บที่ตาได้ง่าย ถ้า ปั๊กของคุณกำลังถูตาอยู่ กระพริบตาถี่ๆ มีน้ำตาไหลมากเกิน หรือตามีการเปลี่ยนสีไป ควรปรึกษาสัตว์แพทย์ของคุณโดยทันที และการที่เป็นสุนัขจมูกสั้น ปั๊ก จึงมีปัญหาเกี่ยวกับเพดานปากอ่อน และจำเป็นต้องตรวจสอบอยู่เสมอ  
  
 
ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม 
             เนื่องจากเขาเป็นหมาที่ชอบอยู่กับคนดังนั้นเขาจึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน ปั๊กเป็นสุนัขตัวเล็กๆ ที่แข็งแกร่ง เป็นตัวตลกโดยธรรมชาติและจะทำให้ คุณหัวเราะได้เสมอพวกเขานอนกรน หายใจเสียงดัง ทำเสียงฟึดฟัดในจมูก หายใจออกแรง และจามใส่หน้าของคุณ 


ที่มา  :  http://pet.kapook.com/view871.html



ไซบีเรียน ฮัสกี  สวยสง่า มีหน้าตาเป็นอาวุธ
ลักษณะทั่วไป
ไซบีเรียน ฮัสกี หรือเรียกสั้นๆว่า ไซบีเรียน สุนัขขนาดกลาง ขนฟูแน่น แข็งแรง คล่องแคล่ว มีหน้าตาเป็นอาวุธ เพราะ หน้าดุ ทำให้คนสามารถกลัวได้ ลักษณะจะเหมือนหมาป่า แต่จริงๆแล้วไม่ดุอย่างหน้าตาหรอกนะ เป็นมิตรกับคนและเข้ากับคนได้ง่าย สุนัขพันธุ์ไซบีเรียนนี้จะรู้จักกันดีในกีฬาลากเลื่อนที่เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยม

ความเป็นมา
ไซบีเรียน อัสกีนี้มีต้นกำเนิดในตะวันออกของไซบีเรีย คำว่า “ฮัสกี้” ได้มาจากชื่อที่ใช้เรียกชาวอินนูอิต(Inuit) โดยเพาะพันธุ์มากจากสุนัขในวงศ์สปิตซ์(สุนัขขนยาวและหนา)ของชาวชุกซี ต่อมาได้ถุกนำเข้ามาในอลาสกาและแพร่พันธุ์เข้าสู่สหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดา จนพัฒนามาเป็นสุนัขลากเลื่อนเมื่อประมาณ ค.ศ.1900 ต่อมาจึงนำมาไซบีเรียนเลี้ยงเป็นสุนัขตามบ้าน


ลักษณะนิสัย
ไซบีเรียนเป็นสุนัขที่ฉลาดและเป็นมิตร มีซนบ้างเป็นบางครั้ง รักอิสระ ชอบหอนมากกว่าเห่า ที่พิเศษคือชอบวิ่ง แต่ลักษณะนิสัยของไซบีเรียนอัสกี้ นั้นก็แตกต่างกันไปตามตัวของมันเอง


ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม
ไซบีเรียนเหมาะสำหรับคนที่พร้อมจะดูแล มีเวลาให้ และให้ทุกอย่างที่มันต้องการได้ ไม่ว่าจะออกกำลังกาย และมิตรภาพจากเจ้าของ เพื่อสร้างมิตรภาพระหว่างเจ้านายกับสุนัข จะทำให้สุนัขเชื่อฟังและไม่ดื้อกับเจ้าของของมัน



 
ข้อควรจำ
เป็นสุนัขที่ไม่ชอบเห่า แต่ชอบหอนเป็นที่สุด แถมยังเป็นสุนัขที่รักอิสระ ไม่ควรอย่างยิ่งหากจะบังคับให้เค้าทำอะไรมากๆโดยไม่จำเป็น หากทำอะไรรุนแรง เจ้าไซบีเรียนก็ไม่ไว้ใจและระแวงในที่สุด

 
มาตรฐานสายพันธุ์
  
 
ขนาด
 ความสูงของเพศผู้อยู่ที่ 21 – 23.5นิ้ว ขณะที่ความสูงของเพศเมียอยู่ที่ 20-22นิ้ว 
ศีรษะ
 มีขนาดปานกลางสมส่วนกับลำตัว หัวกะโหลกมีลักษณะกลม หัวกะโหลกระหว่างหูจะกว้าง และเรียวลงจรดตาทั้งสองข้าง 
จมูก
 ส่วนจมูกจะมีสีดำแซมด้วยสีเทาในสุนัขที่แทนและสีดำ สีเลือดหมูในสุนัขสีทองแดง และจะมีสีเนื้อในสุนัขสีขาว 
ปาก
 ความยาวของปากมีขนาดใกล้เคียงกับความยาวของหัวกะโหลก ปากมีความกว้างพอประมาณ สันปากตรง โคนปากใหญ่ และเรียวลงจรดปลายจมูก ริมฝีปากตึง มีสีเข้ม 
ตา
 มีลักษณะรูปกลมรี อยู่ห่างกันพอประมาณ สีตาจะมีสีฟ้าหรือน้ำตาลเข้ม ,เขียว ,น้ำตาลอ่อน,เหลือง และแก้วตาหลายสี เช่น เหลืองข้างหนึ่ง ฟ้าข้างหนึ่ง 
หู
 มีขนาดปานกลาง อยู่ในรูปสามเหลี่ยมส่วนปลายของหูนั้นจะมน ลักษณะเหมือนหูผึ่ง 
คอ
 มีความยาวปานกลาง ในท่ายืนจะดูสง่าคอตรง เมื่อวิ่งหรือเดิน จะมีลักษณะโค้ง และคอจะยืดไปด้านหน้า 
อก
 ไม่กว้างเกินไป จุดที่ลึกที่สุดอยู่ด้านหลังและเป็นระดับเดียวกันกับข้อศอก กระดูกซี่โครงมั่นคงเชื่อมต่อจากกระดูกสันหลัง มีลักษณะแบนด้านข้างเพื่อให้เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ 
ขาหน้า
 ขาจะมีช่องว่างห่างกันเล็กน้อยพอประมาณ ขนานและตั้งตรง ข้อศอกจะติดกับลำตัว 
ขาหลัง
 ท่อนบนจะมีกล้ามเนื้อที่ดูแข็งแรง ขาหลังทั้งสองข้างจะตั้งตรงและขนานกัน ห่างกันพอประมาณ 
เท้า
 เป็นรูปวงรี อุ้งเท้ามีขนาดปานกลาง มีขนขึ้นระหว่างนิ้วเท้า เนื้อบริเวณเท้าจะหยาบและหนา 
หาง
 จะเหมือนพู่เหมือนหางหมาจิ้งจอก รูปโค้งเหนือหลังและลากไปทางด้านหลังเมื่อเคลื่อนไหว 
ขน
 ไซบีเรียนจะมีขน 2 ชั้น มีความยาวปานกลาง โดยขนชั้นในจะนุ่ม ขนชั้นนอกจะตรงเหยียดเรียบไม่หยาบ 
สีขน
 มีทุกสีตั้งแต่สีดำไปจนถึงสีขาวล้วน จะมีสีแต้มหรือตำหนิบนศีรษะ และลำตัว

ที่มา :  http://www.dogilike.com/breeds/11/%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99-%E0%B8%AE%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%89.php

ความรู้เบื้องต้นการดูแลสุนัข








ความรู้เบื้องต้นการดูแลสุนัข


ที่อยู่ที่นอน

สุนัขควรมีที่อยู่ที่นอนเป็นที่เป็นทางแลเป็นสัดเป็นส่วน อาจจะใช้ผ้าเก่า ๆ หรือเศษผ้านุ่ม ๆ หลายๆชั้น
ทำเป็นที่นอนขนาดเล็กใหญ่แล้วแต่ความเหมาะสม ส่วนการรรจะเลี้ยงดูสุนัขกกกไว้ในบ้านหรือไม่นั้นคงแล้วแต่
ความพร้อมของสมาชิกในครอบครัว ส่วนใหญ่แล้วหากมันยังเล็กอยู่ก็นิยมเลี้ยงไว่ในบ้านเพื่อคอยดูแล
และทำให้มันสนิทสนมกับคนในบ้านได้ง่าย แต่ต้องคอยดูแลเรื่องการขับถ่ายให้เป็นที่เป็นทาง
หากมีบริเวณบ้านมากพอ ควรเลี้ยงไว้นออกบ้าน โดยสร้างกรงที่ขมีขมันความแข็งแรง กว้างขวางตามขนาดของสุนัข
ควรมีมุ้งกางให้สุนัขด้วย มีหลังคากันแดดกันฝนได้ และมีฝากันลมในทิศทางที่ถูกต้อง บริเวณที่ตั้งกรงควรเลือกเอา
ที่ร่ม ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่อับชื้น เวลากลางวันต้องมีแสงแดดส่องผ่านเข้าได้บ้างเพื่อฆ่าเชื้อโรค
และให้กรงแห้งพื้นกรงควรจะสะดวกในการทำความสะอาด ไม่เป็นที่หมักหมดของสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ
มีที่ระบายของเสียได้สะดวก 






การตัดหาง

สุนัขบางพันธุ์นิยมตัดหาง ให้เหลือความยาวตามลักษณะในพันธุ์นั้นนิยม ซึ่งก็ควรตัดในขณะที่ยังมีอายยังน้อย ๆ อยู่
เพื่อที่จะไม่มีเลือดออกมามาก สุนัขไม่เจ็บปวด แผลหายเร็วและทำได้ง่ายโดยไม่ต้องวางยาสลบ ฉะนั้นสุนัขพันธุ์
ที่ต้องตัดหางหลังคลอดควรนำลูกสุนัขไปทำการตัดหางภาายในหนึ่งสัปดาห์หากจะตัดหางเอง
ต้องทำในระยะไม่เกิน 7 วันลังคลอด โดยการบูรป่าลิบขนบริเวณหางที่ต้องการตัดออกให้ถึงผิวหนัง
แล้วทำความสะอาดด้วยการใช้แอลกอฮอล์ หรือทิงเจอร์ไอโอดีน ทาให้ทั่ว ต่อจากนั้นก็รูดผิวหนังขึ้นมาทางโคนหาง
แล้วใช้เชือกหรือยางรัดไว้ให้แน่นตรงข้อที่ 2 ของกระดูกโคนหาง ใช้กรรไกรที่ฆ่าเชื้อแล้วตัดตรงระหว่างข้อ 
ของกระดูกที่จะตัด แล้วแต้มด้วยทิงเจอร์ไอโอดีน ทิ้งไว้ 4-5 ชั่วโมง จึงค่อยเอาเชือกหรือยางรัดออก
ปล่อยให้แผลหาย โดยมากผิวหนังของหางที่รูดขึ้นไปก็จะรูดลงมาเอง หรืออาจจะเย็บปิดก็ได้ถ้าต้องการ 






การตัดหูสุนัขบางพันธุ์นิยมตัดหู เช่น บ็อกเซอร์, โดเบอร์แมน, มินิเจอร์ พินเซอร์ และเกรท เดน ซึ่งก็ควรทำการตัดหู
เมื่อลูกสุนัขอายุระหว่าง 12-14 สัปดาห์ เพราะขนาดโตพอที่จะทำการผาตัดได้ง่าย ทนต่อการวางยาสลบ 
หลังจากตัดแล้วหมอจะต้องดามหูไว้จนกว่าหูจะตั้งตรงตามต้องการ ซึ่งกินเวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ ระหว่างนี้เจ้าของจะต้องคอยดูและอยู่ให้สุนัขเกาแผลจนไไหมที่เย็บหลุด หรือแผลสกปรก เพราะจะทำให้รูปทรงของหูไม่เป็นไปตามต้องการ




การอาบน้ำ

สุนัขก็เหมือนคนที่จะต้องดูแลรักษาความสะอาดและตกแต่งให้ดูสวย น่ารักอยู่เสมอ เนื่องมาจากมันไม่สามารถจะทำความสะอาดและเสริมสวยให้ กับตนเองได้ ผู้เลี้ยงจึงจะต้องทำหน้าที่ สนใจในตัวของมันเสมือนหนึ่งเป็นตัวของมันเองเลยทีเดียว 
การอาบน้ำต้องใช้แชมพู และสบู่ควบคู่ไปด้วย ควรเลือกซื้อแชมพูหรือไม่ก็สบู่ที่ผลิตขึ้น
สำหรับใช้กับสุนัขเท่านั้น อย่านำแชมพูหรือสบู่ของคนมาใช้กับสุนัขโดยเด็ดขาด เพราะผิวหนังของสุนัขบางชนิดบอบบางมาก หากอาบน้ำด้วยแชมพูหรือสบู่ของคน จะทำให้มีปัญหาเรื่องขนแห้ง หยาบ และมีสะเก็ดรังแคขึ้นบนผิวหนัง บางตัวเป็นหนักถึงอาจจะขนร่วงไปเลยก็มี
         ปัจจุบันแชมพูสุนัขมีให้เลือกหลายสูตร มีทั้งแบบผสมครีมในตัว ประเภททูอินวัน หรือทรีอินวัน ชนิดที่มีสารฆ่าเห็บ ฆ่าหมัด เยอะแยะมากมายไปหมด ก่อนซื้อควรอ่านดูฉลากข้างขวดว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณ
สมบัติอะไรบ้าง บรรจุเท่าใด หมดอายุวันไหน แล้วจึงเลือกซื้อมาใช้ให้ถูกกับลูกสุนัขของเรา
     
         :: วิธีอาบน้ำให้สุนัข :: 

อุปกรณ์ต้องเตรียม คือ แชมพูสำหรับสุนัข ผ้าเช็ดตัว อ่างน้ำ หรือสายยาง ที่ต่อจากก๊อกน้ำ เครื่องเป่าผม

ขั้นตอนการอาบน้ำให้สุนัขทำได้ดังนี้ คือ



 จับสุนัขให้อยู่ในอ่างนิ่งๆ โดยการจับที่ปลอกคอ เป็นไปได้ควรอุดหู
ทั้งสองข้าง ของสุนัขด้วยสำลีเพื่อป้องกันมิให้น้ำเข้าหู แล้วจึงค่อยเทน้ำลง
บนตัวสุนัขให้ทั่วทั้งตัว 




ใช้แชมพูสุนัขเทลงบนตัวสุนัข แล้วจึงใช้มือถูนวดแชมพูให้ทั่วใน
ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งยังจับปลอกคอสุนัขอยู่เพื่อจะให้มันอยู่นิ่งๆ





ล้างแชมพูที่ส่วนหัวของลูกสุนัขก่อน จากนั้นจึงล้างแชมพูที่ลำตัวให้
สะอาด แล้วใช้ผ้าเช็ดให้แห้งทั้งตัว






เอาสำลีที่อุดหูออก แล้วเป่าขนให้แห้ง พร้อมกับแปรงขนให้ได้รูป
ทรงตามที่ต้องการ



การแปรงและหวีขน
สุนัขทุกพันธุ์ต้องการแปรงขนเหมือนกัน ไม่จำเป็นว่าสุนัขตัวนั้นจะ ต้องมีขนยาวเพียงเท่านั้น การแปรงหวีขน ของสุนัขบ่อยๆ นอกจากจะ ทำ ให้ขนสวย ขนไม่พันกันแล้ว ยังจะเป็นการทำความสะอาดตัวของสุนัขได้
เพราะเวลาเราแปรงขน สิ่งสกปรกจะถูกกำจัดออกมารวมทั้งบรรดาขนเก่า ที่หลุดออกมา นอกจากนั้นผิวหนังที่ได้รับการ กระตุ้นจากการ หวีหรือแปรงก็จะขับน้ำมันมาเคลือบขนสุนัขทำให้ขนนุ่ม และเป็นเงางาม โดยที่เราไม่ต้องเสียเงินไปซื้ออาหารเสริมมาให้มันกินให้สิ้นเปลืองเปล่า ๆ
ควรฝึกหวี และแปรงขนสุนัขแต่เล็ก ๆ เพื่อจะได้เคยชินและยอมให้เรา เสริมสวยแต่โดยดี

         
   
       เทคนิคการหวีและแปรงขนสุนัข
การแปรงขนสุนัขทุกวันจะทำให้สุนัขมีสุขภาพดี ขนเป็นเงางาม ไม่มีสิ่งสกปรกหมักหมมอยู่ ในขนสุนัข พันธุ์ขนยาว เช่น อาฟกัน ฮาวด์ ชิสุ ควรหวี ทุกวัน ส่วนสุนัขพันธุ์ขนสั้น เช่น บลูด็อก เกรดเดน แปรงขนเพียง
2-3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ก็พอ ส่วนสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ลต้องใช้การตัดแต่งขน จะหวีให้ตรงแบบสุนัขพันธุ์อื่นไม่ได้
       
:: การหวีขนสุนัขพันธุ์ขนสั้น
อุปกรณ์ที่ใช้มีแปรงบิสเทิล แปรงหวีสลิดเกอร์ หวีตรง ขั้นตอนการหวี มีดังนี้
     - ใช้หวีแปรงสลิดเกอร์หวีก่อน เพื่อจำกัดเอาขนที่พันออกไม่ให้เกิดก้อน สังกะตัง ออกแรงหวีเพียง             เบาๆนุ่มๆ หวียาวๆ จากคอถึงลำตัวทำเช่นนี้ทั่วตัว
     - ใช้หวีบิสเทิลแปรง เพื่อเอาขนที่ตายแล้วและสิ่งสกปรกให้หลุดออกจากขนของสุนัขทั้งตัว
     - ใช้หวีตรง หวีบริเวณที่ยาว เช่น ส่วนของหาง เท้า ขา ถ้าพบว่าขนพันกันให้ใช้กรรไกรตัดออก         สุนัขจะได้ไม่เจ็บ

:: การหวีขนสุนัขที่สั้นเกรียน
อุปกรณ์ที่ใช้มี แปรงรับเบอร์ หนังชามัวร์ แปรงบิสเทิล
     - ใช้แปรงรับเบอร์ เพื่อแปรงย้อนขนสุนัขจะทำให้ขนตาย และสะเก็ด ผิวหนัง สิ่งสกปรกหลุดออกโดยง่าย
     - ใช้แปรงบิสเทิล แปรงขนตัวสุนัขอีกครั้งให้ทั่วทั้งตัว เพื่อเอาขนที่ตายและสะเก็ดออก
     - เช็คขนสุนัขด้วยหนังชามัวร์ เพื่อให้ขนเป็นมันเงางาม

:: การหวีขนสุนัขที่ขนตรงยาว
อุปกรณ์ที่ใช้มีแปรงสลิดเกอร์ แปรงบิสเทิล หวีตรง กรรไกร
     - ใช้แปรงสลิดเกอร์หวีขนก่อน เพื่อทำให้ขนที่พันกันอยู่คลายตัวออก
     - ใช้แปรงบิสเทิลหวีตามอีกครั้ง เพื่อทำให้ขนมันเงา และหวีง่ายขี้นไปอีก
     - ใช้หวีตรง หวีจัดให้ขนของสุนัขตกลงไปข้างลำตัว ด้านซ้ายและด้านขวาตามแนวขน
     - ใช้กรรไกรตัดแต่งบริเวณเท้าและหู เพื่อให้เป็นระเบียบเรียบร้อยดูสวยงาม





การดูแลหู

หูมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่ง สุนัขที่มีหูปกติจะต้องมีสีชมพูเรื่อๆ สะอาด ไม่มีกลิ่นผิดปกติ หูควรสะอาดไม่มีขี้หูมากจนเกินไป ไม่มีเห็บ หรือหมัด ไม่เป็นแผล หนอง สุนัขบางพันธุ์รวมทั้งพวกพุดเดิ้ล มักมีขนขึ้นที่บริเวณช่องหู ขนเหล่านี้จะเป็นตัวเพาะเชื้อโรค และหมักหมมส่งสกปรกทั้งหลายได้เป็นอย่างดี พวกหูยานก็เก็บสิ่งสกปรกต่าง ๆ ได้ง่ายจึงต้องหมั่นเอาใจใส่เช็ดถูสิ่งสกปรกในช่องหูออกให้หมด พวกหูตั้งนี้รักษาง่าย เพราะช่องหูสามารถถ่ายเทกับอากาศภายนอกได้โดยธรรมชาติ ฉะนั้นสิ่งสกปรกต่าง ๆ จึงไม่สามารถหมักหมมจนเกิดโรคได้มากนัก ถ้าหูสุนัขสกปรกมากก็ควรใช้สำลีหรือผ้านุ่มๆ เช็ดบริเวณใบหูและรูหูส่วนนอก ๆ เป็นประจำทางที่ดีหลังการอาบน้ำ เพราะสามารถตรวจสอบว่ามีน้ำหลงเหลือเข้าไปในรูหูหรือไม่ ถ้ามีจะได้เช็ดออกให้แห้ง เป็นการป้องกันหูอักเสบได้ด้วย แต่อย่าได้พยายามทำความสะอาดลึกเข้าไปในรูหูเป็นอันขาด บริเวณอ่อนไหวดังกล่าวควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแพทย์ 




การดูแลตา

ตาของสุนัขที่มีสุขภาพดีจะมีแววตาแจ่มใส ไม่ขุ่นมัวหรือมีสีแดง หรือมีขี้ตา รวมทั้งน้ำตาไหลเป็นคราบอยู่เสมอก็แสดงว่าต้องมีอะไรผิดปกติเข้าตา ถ้าเป็นโรคตาอักเสบธรรมดาเพราะผงเข้าตา ก็ควรใช้น้ำยาล้างตา 4-5 หยด ใส่เพื่อให้สิ่งสกปรกออกก่อน แล้วใช้ผ้าที่สะอาดเช็ดเบา ๆ รอบ ๆ ขอบตาออกได้ ถ้าเป็นมากกว่านี้ควรจะนำไปพบสัตวแพทย์สุนัขบางพันธุ์ เช่น พวกพุดเดิ้ล มักมีรอยด่างสีน้ำตาลที่ขนใต้ตาเสมอ ที่เป็นเช่นนี้เพราะขนบริเวณนั้นเปียกแฉะเนื่องจากหยาดน้ำตาของสุนัข คราบน้ำตานี้จะติดแน่นที่หัวตาย้อยลงมา การกำจัดรอยด่างนี้ทำได้โดยการหมั่นเช็ดถูให้บ่อยๆครั้งทุกวัน เพื่อให้ขนที่ติดคราบน้ำตานี้ค่อย ๆหลุดร่วงหมดไปสุนัขบางตัวตาแฉะ อาจจะเป็นเพราะขนตาขึ้นผิดปกติ แยงเข้าไปในลูกตา การรักษาอาการนี้ควรเป็นหน้าที่ของสัตวแพทย์ 




การดูแลฟัน 

โดยปกติแล้วสุนัขฟันผุได้ยากมาก แต่ที่เห็นบ่อยคือ เหงือกอักเสบ เกิดจากฟันสุนัขไม่สะอาด ขี้ฟันหมักหมมจนจับเป็นคราบสีเหลืองเกาะติดที่ผิวฟัน คือ หินปูนนั่นเอง บางทีหินปูนมีมากและลุกลามไปจนถึงเงือก ทำให้เหงือกอักเสบ มีกลิ่นปาก จนกระทั่งฟันหลุดไปในที่สุดวิธีป้องกันการจับตัวของหินปูน ควรให้สุนัขกินอาหารสำเร็จรูปที่เป็นเม็ดแห้ง หรือให้แทะกระดูกเสียบ้างเพื่อขัดฟัน แต่ถ้าจะให้ดีจริงๆ ควรให้สัตวแพทย์ตรวจฟันทุกปี สุนัขบางพันธุ์ก็มีการจัดเรียงตัวของฟันที่แย่มาก มีเหงือกเป็นหนองและฟันหลุดเสมอการให้แทะกระดูกไม่อาจช่วยได้เลย พวกนี้ต้องตรวจฟัน และทำความสะอาดเสมอโดยสัตวแพทย์ 




การดูแลเล็บ

เล็บสุนัขจะงอกจิกลงดิน มันจะสึกไปเองโดยธรรมชาติ แต่ถ้าเป็นสุนัขที่เลี้ยงบนพื้นไม้หรือพื้นซีเมนต์ มักจะพบปัญหาเล็บไม่สึก มีเล็บยาวเร็วกว่าปกติทำให้เดินไม่สะดวก และเมื่อทิ้งไว้นาน ๆ จะทำให้นิ้วคด หรือแยกห่างออกจากกัน บางทีก็ถอนหรือฉีกแตกจนเกิดหนองได้ จะทำให้สุนัขเจ็บปวดมากเวลาเดิน ฉะนั้นจึงต้องหมั่นตรวจดูแลตัดเล็บเท้าให้สั้นอยู่เสมอการตัดเล็บสุนัขควรใช้กรรไกรสำหรับการตัดโดยเฉพาะ จะทำได้โดยง่ายและปลอดภัย ได้รอยตัดที่กลมโค้ง การตัดควรตัดที่ปลายเพียงเล็กน้อย ระวังอย่าตัดให้ถูกปลายประสาทสีชมพูในเล๋บได้สุนัขที่มีเล็บดำไม่สามารถมองเห็นปลายประสาทนี้ได้ ฉะนั้นตัดเล็บจึงทำได้แค่คลิบปลายเพียงเล็กน้อย หรือตัดตรงตำแหน่งต่ำจากบริเวณที่มีเลือดมาเลี้ยงสัก 3มิลลิเมตร การตัดเล็บควรทำทุกเดือน โดยหลังการอาบน้ำ เพราะเล็บที่เปียกน้ำจะอ่อนตัดง่ายกว่าธรรมดา 




ที่มา : http://hilight.kapook.com/view/27025